article
แคลเซียมซิเตรท คืออะไร

 

แคลเซียมซิเตรท คืออะไร

             แคลเซียม เป็นอีกหนึ่งธาตุทางเคมีที่มีสัญลักษณ์อยู่ในตารางธาตุว่า Ca ซึ่งเชื่อได้เลยว่าเมื่อเราพูดถึงคำว่าแคลเซียม เราจะต้องนึกถึงส่วนประกอบของร่างกายที่มันมีส่วนแข็งๆ อย่างเช่นกระดูก หรือฟันอย่างแน่นอน ก็ถือว่าถูกต้อง เพราะอวัยวะเหล่านี้ก็จะมีแคลเซียมเป็นส่วนประกอบที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงอยู่เหมือนกัน แต่พวกเรารู้กันหรือไม่ว่า แคลเซียมซิเตรท คืออะไร แล้วมันจะมีคุณสมบัติมีลักษณะเหมือนกับแคลเซียมที่พวกเรารู้จักหรือไม่ วันนี้พวกเราจะมาทำความรู้จักกับแคลเซียมซิเตรทกัน

 

             แคลเซียมซิเตรท ที่เราเคยได้ยินกัน จะมีลักษณะเป็นผงผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น ไม่มีคุณสมบัติในการละลายในน้ำเย็น ซึ่งแคลเซียมซิเตรทจะเป็นเกลือแคลเซียมของกรดซิตริก ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อชดเชยข้อด้อยของแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อกินเข้าไปแล้วจะสามารถดูดซึมได้น้อย มีอาการท้องอืดไม่สบายท้อง แต่แคลเซียมซิเตรทจะสามารถกินได้ในขณะที่ท้องว่าง ดูดซึมได้ง่ายกว่า แต่ก็จะมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงรักษาร่างกายได้นั่นเอง คือ มีการป้องกันและรักษาอาการขาดเกลือหรือเกลือแคลเซียมของร่างกาย รวมถึงช่วยรักษาโรคกระดูกพรุนได้อีกด้วย

 

             เมื่อเราได้รู้จักกับแคลเซียมซิเตรทกันแล้ว ทีนี้เราจะมาพูดถึงกลไกในการออกฤทธิ์ของแคลเซียมซิเตรทกัน ซึ่งตัวแคลเซียมซิเตรทนั้นจะมีการปล่อยเกลือแร่แคลเซียมเข้าสู่กระแสเลือดของพวกเราเพื่อสร้างสมดุลให้เหมาะสมและถูกนำไปใช้ประโยชน์ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอต่อไปอีกทีหนึ่ง รวมถึงแคลเซียมซิเตรท ยังมีส่วนช่วยในการป้องกันการสูญเสียแคลเซียมจากกระดูกได้อีกด้วย รวมถึงเกลือแร่แคลเซียม ก็ยังช่วยทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกล้ามเนื้อหัวใจให้สามารถทำงานได้เป็นปกติอีกด้วย

 

            อย่างที่เราทราบกันแล้วว่าในปัจจุบัน แคลเซียมซิเตรท ถูกพัฒนาจนอาจจะมาในรูปแบบของยา จึงทำให้ในบางครั้งเมื่อมีการรับประทานแคลเซียมซิเตรทไป จึงทำให้มีผลข้างเคียงเกิดขึ้นมาได้บ้าง เช่นมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน กระหายน้ำ ปัสสาวะบ่อย แต่ถ้าเกิดมีอาการแพ้ ก็จะถึงขั้นเป็นผื่นคัน หายใจไม่ออก คอมีอาการบวม เป็นต้น ดังนั้นถึงแม้ว่า แคลเซียมซิเตรท จะให้คุณประโยชน์ต่อร่างกายของพวกเรามากเพียงใด เราก็ต้องมีการใช้อย่างระมัดระวังและอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนจนถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้นั่นเอง

 

Share this Article