article
ทำความรู้จักกับไลโคพีน (Lycopene) สารสกัดจากมะเขือเทศ

 

 

ทำความรู้จักกับไลโคพีน (Lycopene) สารสกัดจากมะเขือเทศ

               ไลโคพีนหรือ Lycopene เป็นสารอาหารประเภทไฟโตนิวเทรียนท์ชนิดหนึ่งที่ผู้ใส่ใจในสุขภาพย่อมรู้จักกันมาบ้างแล้ว แต่หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่ามันมีความสำคัญและจำเป็นต่อสุขภาพอย่างไร เพราะฉะนั้นเราจะมาทำความรู้จักกับสารอาหารจากธรรมชาติชนิดนี้ให้มากขึ้น

 

 

ไลโคพีนคืออะไร

                ไลโคพีนเป็นสารที่จัดอยู่ในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่สามารถละลายได้ดีในไขมัน มักจะพบในผักผลไม้ที่มีสีแดง สีส้ม และสีเหลือง อย่างเช่นแตงโม มะเขือเทศ แครอท มะละกอสุก และฟักข้าว เป็นต้น

                สำหรับในซอสมะเขือเทศจะมีปริมาณไลโคพีนสูงกว่าผลมะเขือเทศสดถึง 2 เท่า เนื่องจากโดยปกติสารไลโคพีนที่อยู่ในมะเขือเทศสดจะอยู่ในรูปแบบทรานส์ (Trans) เมื่อนำมาบดและผ่านกระบวนการความร้อนจะอยู่ในรูปซิส (Cis) แต่จะต้องไม่ใช้ความร้อนสูงมากเกินไป เพื่อป้องกันการสูญสลายของสารไลโคพีน

 

การรับประทานไลโคพีน

                เพราะสารไลโคพีนเป็นสารอาหารที่ร่างกายของเราไม่สามารถผลิตขึ้นได้เอง จึงทำให้เราต้องอาศัยการรับประทานผักผลไม้เสริมเข้าไป และเมื่อร่างกายดูดซึมสารไลโคพีนเข้าไปใช้แล้วก็จะทำการขับออกจากร่างกายตลอดเวลา

                ดังนั้นเราต้องรับประทานให้ได้สารไลโคพีนปริมาณ 75 มิลลิกรัมต่อวัน ถึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่หากรับประทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอาการตัวเหลืองหรือคลื่นไส้ ซึ่งเป็นโทษต่อร่างกายได้

 

ประโยชน์โดยรวมของไลโคพีน

                ไลโคพีนยังมีคุณสมบัติเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีปริมาณมากกว่าสารเบต้าแคโรทีนถึง 2 เท่า สามารถช่วยต้านโรคมะเร็งต่างๆ เช่น โรคมะเร็งปอด โรคมะเร็งเต้านม โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร รวมถึงโรคมะเร็งต่อมลูกหมากที่ได้ผลอย่างดีเยี่ยม ส่วนในด้านสุขภาพจะช่วยสร้างความสมดุลให้แก่ร่างกาย สร้างภูมิคุ้มกันโรค ลดระดับน้ำตาลในเลือด ละลายไขมันที่เกาะผนังหลอดเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ และลดภาวะเครียด

 

 

                นอกจากนี้สารไลโคพีนยังช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยที่เกิดจากวัย เท่ากับเป็นการช่วยบำรุงผิวพรรณให้แลดูอ่อนเยาว์ อีกทั้งยังมีผลการศึกษาวิจัยที่ค้นพบว่า การรับประทานอาหารที่มีสารไลโคพีนอย่างสม่ำเสมอ จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะหัวใจวายในผู้ชายได้มากถึง 50%

 

                เนื่องจากการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันที่ต่างก็มีวิถีชีวิตอันเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็นในด้านอาหารการกินที่นิยมอาหารประเภทจังก์ฟู้ด รวมถึงการเผชิญกับมลภาวะต่างๆ ที่เป็นพิษทำร้ายสุขภาพอย่างเช่นควันบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือแม้แต่ควันไอเสียจากรถ ดังนั้นหากเราปรารถนาที่จะมีอายุที่ยืนยาว ลองเริ่มต้นหันมาใส่ใจสุขภาพเสียตั้งแต่วันนี้นะคะ

 

 

Share this Article