ลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้ด้วยขมิ้นชัน
โรคหัวใจเป็นหนึ่งในโรคที่คนไทยและคนทั่วโลกเสียชีวิตมากที่สุด ด้วยวิถีความเป็นอยู่ที่เปลียนแปลงไปตามยุคสมัย ทั้งพฤติกรรมการทานอาหารที่ต้องเร่งรีบ เพื่อให้ใช้เวลาน้อยที่สุด ซึ่งอาจจะทำให้กินไม่ถูกตามหลักโภชนาการ ให้ครบ 5 หมู่ และลักษณะในการทำงานที่ต้องนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดทั้งวัน การเคลื่อนไหวของร่างกายลดน้อยลง ล้วนเป็นสาเหตุให้เราเริ่มต้นป่วยด้วยโรคความดันโลหิตสูง มีปัญหาไขมันในเส้นเลือด โรคอ้วน ซึ่งล้วนเป็นสาเหตุของการเป็นโรคหัวใจทั้งสิ้น นักวิจัยและแพทย์จากหลากหลายสถาบันก็ได้ทำการวิจัยเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงและวิธีการลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจ ซึ่งมีหลากหลายสาเหตุที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจได้ การทำงานของเยื่อบุโพรงผนังหลอดเลือดบกพร่อง (Endothelial dysfunction) เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจได้ เช่น อาการภาวะผนังหลอดเลือดแดงแข็งตัว, ไม่สามารถควบคุมความดันโลหิตได้ และอาการอื่น ๆ
ขมิ้นชันเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่นักวิจัยหลายคนได้ศึกษาและพบว่ามีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากโรคหัวใจได้ โดยเชื่อว่าสารสกัด Curcumin ในขมิ้นมีส่วนช่วยให้การทำงาน Endothelium (เยื่อบุโพรงผนังหลอดเลือด) ดีขึ้น โดยมีการทดลองหนึ่งได้ทดลองในผู้ที่ผ่านการผ่าตัดหลอดเลือดหัวใจบายพาส 121 คน โดยกลุ่มหนึ่งให้ทานสารสกัด curcumin 4 กรัมต่อวันก่อนและหลังการผ่าตัดและอีกกลุ่มทานยาหลอก พบว่ากลุ่มที่สารสกัด curcumin ลดความเสี่ยงในการเกิดอาการหัวใจวายได้มากถึง 65% นอกจากนี้ยังมีการวิจัยพบว่าเมื่อให้ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนทานสารสกัด curcumin เป็นเวลาต่อเนื่อง 8 สัปดาห์ทำให้การทำงานของ Endothelium มีประสิทธิภาพดีเท่ากับการออกกำลังกายและอีกการทดลองหนึ่งพบว่าให้ผลดีเท่ากับยา Atorvastatin ซึ่งเป็นยาที่ใช้รักษาโรคไขมันในเลือดสูงและเป็นช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ จากผลการวิจัยทั้ง 2 งานข้างต้น เป็นการยืนยันได้ว่าสารสกัด Curcumin จากขมิ้นชันมีคุณสมบัติทางยาที่ดี และมีฤทธิ์เทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบันได้เลย และการสารสกัดขมิ้นชันก็ยังเป็นสารจากธรรมชาติที่มีความปลอดภัยมากกว่าสารสังเคราะห์อีกด้วย
ในมื้ออาหารไทยปกติ เช่น แกงเหลือง, แกงไตปลา, แกงใต้ต่างๆที่มีขมิ้นในส่วนผสมนั้นมีปริมาณสารสำคัญในขมิ้นน้อยจนไม่เกิดฤทธิ์ทางยาที่ช่วยบรรเทาอาการในร่างกายได้ ดังนั้นการทานสารสกัดขมิ้นชันเช่นในรูปแคปซูล จึงเป็นการทำให้เราได้รับสาระสำคัญที่มีฤทธิ์ทางยาได้มากขึ้น และเป็นการสะดวกต่อการทานด้วย แต่อย่างไรก็ตามก็ควรปรึกษาแพทย์ในความดูแลก่อนรับประทาน และที่สำคัญอย่าลืมทานอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายเพื่อจะได้ห่างไกลจากโรคหัวใจด้วยค่ะ
Share this Article