EPA และ DHA ในน้ำมันปลา มีประโยชน์อย่างไร
ปัจจุบันเป็นยุคของการดูแลสุขภาพ เนื่องจากมลภาวะ สิ่งแวดล้อม อาหารการกินต่าง ๆ ส่วนใหญ่ที่มีผลต่อสุขภาพ ซึ่งหากให้ประโยชน์ ก็นับว่าเป็นผลดี แต่หากเป็นโทษกับร่างกาย ก็ส่งผลทางลบต่อร่างกาย ซึ่งหลายสิ่งอย่างก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง ดังนั้นมนุษย์อย่างเราจำเป็นที่จะต้องหาวิธีป้องกันให้สุขภาพได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการทานอาหารที่บำรุงสุขภาพมากขึ้น การออกกำลังกาย หรือแม้แต่การเลือกทานอาหารเสริมเพื่อการบำรุงร่างกาย และหนึ่งในอาหารเสริมที่เป็นที่นิยมกันในหลายกลุ่มคนทั้งวัยรุ่น ผู้ใหญ่ และวัยสูงอายุก็คือ น้ำมันปลา
น้ำมันปลา เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากตั้งแต่ในอดีต จนถึงปัจจุบัน ซึ่งน้ำมันปลาเป็นสิ่งที่ได้จากหัวของปลา ตัวของปลา หนังของปลา และหางของปลา ซึ่งอุดมไปด้วยประโยชน์มากมาย อย่างที่เรารู้จักกันดีก็คือ น้ำมันปลาเป็นแหล่งของโอเมก้า 3 ซึ่งโอเมก้า 3 มีองค์ประกอบของกรดไขมัน EPA และ DHA ซึ่งกรดไขมัน 2 ชนิดนี้มีการทำงานที่แตกต่างกัน แต่สามารถบำรุงร่างกายได้หลายส่วนดังนี้
กรดไขมัน EPA มีส่วนช่วยสำคัญในการลดระดับไขมันในเลือด ลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นไขมันไม่ดี โดยหากค่าไตรกลีเซอไรด์สูง ก็ส่งผลให้เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต ดังนั้นกรดไขมัน EPA มีส่วนช่วยสำคัญในการควบคุมระดับไตรกลีเซอไรด์ อีกทั้งทั้งกรดไขมันชนิดนี้ยังมีส่วนช่วยสำคัญในการบำรุงข้อต่อ ซึ่งมีความจำเป็นอย่างมากในผู้สูงอายุ โดยมีส่วนลดการฝืดขัดของข้อในตอนเช้า และมีส่วนในการบรรเทาอาการปวดบวม สาเหตุจากโรคข้อต่อรูมาตอย์ได้
กรดไขมัน DHA จะมีความแตกต่างจากกรดไขมัน EPA โดยกรดไขมัน DHA มีส่วนช่วยบำรุงระบบประสาทและสมอง เสริมสร้างความจำ และมีส่วนช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการมองเห็นได้อีกด้วย ซึ่งกรดไขมัน 2 ชนิดนี้มีอยู่ในน้ำมันปลา สำหรับคนที่ต้องการทานอาหารเสริมเพื่อบำรุงสุขภาพ บำรุงร่างกาย ควรรับประทานควบคู่ไปกับการทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมไปถึงการพักผ่อนให้เพียงพอควบคู่ไปด้วย จึงจะส่งผลดีต่อร่างกายได้มากที่สุด
Share this Article