บำรุงเส้นเลือดด้วยไลโคปีน
ไลโคปีน เป็นสารอาหารชนิดหนึ่งที่ทุกๆ คนคงเคยได้ยินชื่อ โดยเฉพาะผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพ เนื่องจากประโยชน์ของมันที่มีมากมาย สามารถป้องกันโรคต่างๆ ได้ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง รวมถึงช่วยบำรุงระบบต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงการบำรุงเกี่ยวกับ “เลือด” และ “เส้นเลือด” ของไลโคปีน
ไลโคปีน จะช่วยป้องกัน และต่อต้านอนุมูลอิสระในระดับเนื้อเยื่อหุ้มเซลล์ในร่างกาย โดยงานวิจัยจากสาขาวิชาสารอาหารและระบาดวิทยา ภาควิชาสาธารณสุข มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ระบุว่า ไลโคปีน มีประสิทธิภาพในการต่อต้านสารอนุมูลอิสระ ที่จะทำลายผนังเยื่อหุ้มเซลล์ ซึ่งมันเป็นสาเหตุนำไปสู่โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด
ขณะที่นักวิจัยชาวฟินแลนด์ ติดตามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นชายวัยกลางคน 1,000 คน 12 ปี พบว่าชายที่มีระดับไลโคปีนในเลือดสูง มีส่วนสำคัญในการช่วยลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบ โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดทุกประเภท และป้องกันการเกิดเส้นเลือดอุดตันและลิ่มเลือดอุดตันได้มากถึง 59 %
จากงานวิจัยต่างๆ ในหลายประเทศต่างพบตรงกันว่า ไลโคปีนมีประสิทธิภาพในการป้องกันการเกิดโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด และลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบได้
ไลโคปีน ยังมีอีกประสิทธิภาพพิเศษ สามารถช่วยต่อต้านปฏิกิริยาออกซิแดนของคอเลสเตอรอลไม่ดี ที่อยู่ในผนังหลอดเลือด พร้อมช่วยลดคอเลสเตอรอลไม่ดีในกระแสเลือด และป้องกันโรคหลอดเลือดแดงแข็งตัว รวมถึงลดระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยสร้างสมดุลแก่ร่างกาย ซึ่งหากรับประทานไลโคปีนอย่างพอดี และสม่ำเสมอ จะช่วยลดอัตราหัวใจวายได้ โดยปกติแล้วไลโคปีนจะพบได้มากใน มะเขือเทศ และไม่นานมานี้ได้มีการวิจัยพืชของไทยที่มีชื่อว่า ฟักข้าว ซึ่งพบว่ามีไลโคปีนมากกว่ามะเขือเทศถึง 70 เท่า
หากต้องการไลโคปีนแบบเต็มๆ แนะนำให้รับประทานในรูปแบบอาหารที่มีการผ่านการแปรรูปด้วยความร้อนมาแล้ว เนื่องจากจะทำให้ร่างกายดูดซึมไลโคปีนในระบบย่อยอาหารเข้าสู่กระแสเลือดได้ ดีกว่ารับประทานแบบสดๆถึง 2.5 เท่า แต่ก็ต้องมีคนที่ไม่ชอบรับประทานอาหารที่มีไลโคปีนโดยตรง ซึ่งปัจจุบันมีการนำไลโคปีนมาสกัดเป็นอาหารเสริม ให้สามารถรับประทานได้ง่ายแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณของไลโคปีนที่แนะนำให้รับประทานนั้น ไม่ควรเกิน 75 มิลลิกรัมต่อวัน หรือหากเป็นรูปแบบอาหารเสริมก็ไม่ควรเกินปริมาณที่กำหนดไว้บนฉลากบรรจุภัณฑ์ เนื่องจาก ไลโคปีน เป็นสารที่ละลายในไขมัน และจะถูกสะสมไว้ที่ตับ หากสะสมมากเกินไป อาจส่งผลให้ ตัวเหลือง และคลื่นไส้ได้
หากใครที่สนใจรับประทานอาหารเสริมไลโคปีน ควรปรึกษาแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญก่อน
Share this Article